รีวิว The Cave นางนอน – เล่าเรื่องใหญ่ในเวลาน้อย ขาดๆหายๆ ไม่รู้จะโฟกัสใคร

รีวิว The Cave นางนอน – เล่าเรื่องใหญ่ในเวลาน้อย ขาดๆหายๆ ไม่รู้จะโฟกัสใคร

THE CAVE นางนอน ภาพยนต์ที่สร้างมากจากเรื่องจริง บอกเล่าเหตุการณ์ที่เรียกได้ว่าเป็นปรากฏการณ์ที่ดึงความสนใจจากทั่วโลก เหตุการณ์ 12 นักฟุตบอลเยาวชนทีมหมูป่าและโค้ช เข้าไปติดอยู่ภายในถ้ำหลวงและต้องใช้ผู้เชี่ยวชาญการดำน้ำในถ้ำและความช่วยเหลือจากผู้เชี่ยวชาญจากหลายฝ่ายทั่วทุกมุมโลก กระทั่งสามารถนำเด็กๆทั้ง 12 คน และโค้ชทีมฟุตบอลหมูป่าออกมาได้อย่างปลอดภัย.

THE CAVE นางนอน ได้ผู้กำกับลูกครึ่งไทยไอริช ทอม วอลเลอร์ 

ที่มีผลงานก่อนหน้าอย่าง “ศพไม่เงียบ” โดยตัวหนังส่วนใหญ่โฟกัสไปที่ทีมงานจากต่างชาติที่เข้ามามีส่วนร่วมในภาระกิจครั้งนี้. มีการพูดถึงความยากทั้งความยากของภาระกิจและความยากในการประสานงานกับหน่วยงานไทย. มีการพูดถึงพาร์ทของช่วงบ้านในพื้นที่อยู่บ้าง แต่ส่วนใหญ่จะเน้นไปที่ภาระกิจช่วยเหลือมากกว่า.

อย่างที่บอกว่าตัวหนังส่วนใหญ่โฟกัสไปที่การทำภาระกิจ ซึ่งเป็นหัวใจหลักของเหตุการณ์นี้อยู่แล้ว นั่นจึงทำให้พาร์ทของเด็กๆทีมหมูป่าและโค้ชนั้นกลายเป็น side story ไปเลย และด้วยความดีต้องการจะนำเสนอดีเทลที่ค่อนข้างมีมากในเวลาที่จำกัดทำให้มันยังไม่ค่อยสุด. ถึงจะโฟกัสไปที่การทำภาระกิจ แต่ตัวหนังกับไม่มีสิ่งที่เป็นเหมือนหัวใจของการดำเนินเรื่องเลย มีก็น้อยมาก เหมือนเป็นการจับเอาส่วนต่างๆจากเหตุการณ์จริงมารวมกัน แต่ไม่มีบุคคลหลักที่จะพาตัวเรื่องเดินไป.

มีหลายๆพาร์ทที่ดูเหมือนจะขาดหายไป อย่างเช่นพาร์ทของสื่อต่างๆจากทั่วทุกมุมโลกที่ต่างประโคมข่าวกันยกใหญ่จนกลายเป็นปรากฏการณ์ระดับโลก แต่หนังกลับเล่าส่วนนี้น้อยมาก. พาร์ทที่ควรจะมีอย่างผู้ว่าฯ พาร์ทของหน่วยซีล และอื่นๆที่ขาดหายไป.

ส่วนของตัวละครนั้นต้องบอกว่าไม่ค่อยลงตัวเท่าไหร่ ด้วยความที่เป็นการเอาคนที่เป็นนักแสดงจริงๆที่เราคุ้นหน้าคุ้นตามาผสมปนเปกับบุคคลที่เป็นตัวจริงที่มีส่วนร่วมในเหตุการณ์จริงๆ ซึ่งเมื่อนำไปรวมกับพล็อตที่ไม่รู้ว่าจะโฟกัสไปที่ใคร ยิ่งทำให้เหตุการณ์และตัวละครที่ควรจะเด่นกลับดร็อปลงซะงั้น. ดูเหมือนจะมีการพูดถึงตัวละครตัวหนึ่งอยู่พอสมควร แต่ก็ไม่มากพอที่จะทำให้ตัวละครนั้นกลายเป็นตัวดำเนินเรื่องไปได้และหลายครั้งก็ถูกกลบไปได้ฉากตัวละครอื่นๆ. ตัวละครบางตัวก็ทำให้เรางง ทั้งที่เป็นตัวละครที่มีความสำคัญเป็นอย่างมากในเหตุการณ์จริง อย่างผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย ซึ่งในหนังมีการใช้นักแสดงระดับเทพอย่างอา หนิง นิรุตติ์ ศิริจรรยา มารับบทแต่กลับมีการพูดถึงและโผล่มาไม่กี่ฉาก แล้วช่วงหลังๆกลับเอาผู้ว่าฯคนจริงและฟุตเทจจากเหตุการณ์จริงมาใส่แทนซะงั้น อ้าว แล้วตอนแรกที่มา หายไปไหน.

พูดถึงเรื่องของมุมมองต้องบอกว่าค่อนข้างย้อนแย้งในตัวเองอยู่พอสมควร บางฉากก็เหมือนจะเป็นมุมของภาพยนต์ แต่บางฉากก็เหมือนเป็นมุมมองของสาระคดี. พาร์ทที่ควรจะมีความระทึกอย่างฉากนำตัวเด็กๆออกจากถ้ำ กลับไม่ระทึกเท่าที่ควร. พาร์ทของดนตรีมีความเป็นไทย สวยงามตามท้องเรื่อง.

สรุปคือ The Cave นางนอน หนังสาระคดีที่เล่าเหตุการณ์จริงถ่ายทอดผ่านทั้งนักแสดงและบุคคลที่อยู่ในเหตุการณ์จริง. ไม่ขอออกความคิดเห็นว่าดีหรือไม่ หรือควรจะไปดูหรือไม่ เพียงแค่อธิบายจากประสบการณ์ที่ได้ไปดูมาแล้วเท่านั้น ส่วนใครอยากรู้ เชิญพิสูจน์ได้ด้วยตัวคุณเองวันนี้ ในโรงภาพยนต์.

แพรวา ณิชาภัทร เสียใจร้องรักติดไซเรนเพี้ยน

หลังจากที่เกิดดราม่า ถูกวิจารณ์หนักมาก เมื่อ แบงค์ ธิติ, ต่อ ธนภพ ลีรัตนขจร, เจเจ กฤษณภูมิ และ แพรวา ณิชาภัทร ไปร้องเพลง รักติดไซเรน ที่งานอีเวนท์แห่งหนึ่ง แต่กลายเป็นว่างานนี้ร้องเพี้ยนยกกลุ่ม และชาวเน็ตต่างก็บอกว่าแพรวาคือต้นเหตุที่ทำใหร้องเพี้ยนทั้งๆ ที่เป็นเพลงของตัวเอง งานนี้มีโอกาสเจอแพรวาเลยขอถามถึงประเด็นดังกล่าวด้วย

หนูก็รออยู่ ไม่มีใครมาสัมภาษณ์หนูสักที ความจริงคือพวกหนูซ้อมกันน้อยค่ะ ซ้อมกันแค่ครั้งเดียว ด้วยความที่คิวแต่ละคนยากมาก มีโอกาสได้เจอกันครั้งเดียว และด้วยตัวหนูไม่ได้แข็งแรงในด้านการร้องเพลงมาก พอขึ้นไปแล้วเราไม่ได้ยินเสียงตัวเองก็เพี้ยนไปเลย

รู้ค่ะ แต่เราก็ต้องร้องให้จบ เพราะมัน the show must go on หนูก็พยายาม แต่พอลงเวทีมาก็รู้แล้วว่ามันแย่ ตอนที่มีการแชร์คลิปกันเยอะๆ มันห่างจากงานนั้นมานานมากแล้ว หนูก็งงว่าทำไมเพิ่งมาแชร์กัน เพราะตอนหลังจบงานอีเว้นท์นั้นยังไม่มีคนแชร์

ก็เสียเซลฟ์นะ เหมือนทุกคนที่มางานเขามารอฟังเพลงนี้ แต่เราทำได้ไม่ดี มอบความสุขให้เขาไม่ได้ พอกลับบ้านก็เสียใจ นั่งร้องไห้เหมือนกัน แต่ก็คิดว่าไม่เป็นไร เพราะมันผ่านไปแล้ว งานหน้าก็เอาใหม่ทำให้ดีขึ้น

อ่านค่ะ แต่ก็อ่านบ้าง ไม่อ่านบ้าง เพราะหนูรู้สึกว่าบางคอมเม้นท์ก็ด่าแรงเกินเราจะรับไหวเหมือนกัน คือด่าเกินเรื่องร้องเพี้ยนไปอีก คุยค่ะ มีคุยกับพี่ต่อ(ธนภพ)​ คุยกับแบงค์(ธิติ)​ เพราะได้เจอกันบ่อย พี่ต่อก็บอกว่าไม่เป็นไรหรอก มันเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นแล้ว เราต้องข้ามไปให้ได้ แล้วงานหน้าเราก็ต้องทำให้ดีขึ้น

สำหรับหนูไม่กดดัน แต่หนูรู้สึกว่าอยากทำให้ดีมากกว่าเดิมด้วยซ้ำ เพราะทุกคนเขาอยากฟังเรา เราก็ไม่อยากร้องเพี้ยนให้คนอื่นฟังเหมือนกัน ใช่ค่ะ วันที่หนูลงจากเวทีแล้วกลับบ้านก็รู้สึกเสียความมั่นใจว่าทำไมเราทำได้ไม่ดีเลย เพลงเรานะเว้ย แต่เราร้องเพี้ยนแต่หลังจากนั้นหนูก็ค่อยๆ ดีขึ้น

ทุกวันค่ะ มากกว่าเดิมมากๆ ก็ได้รับรู้ข้อบกพร่องของตัวเองว่า เวลาเราร้องกับคนอื่น เสียงเราจะเบี่ยงไปหาเขา เพราะฉะนั้นเราต้องแข็งแรงมากๆ ในเสียงหลักของเรา

Credit : แนะนำสถานที่ท่องเที่ยว | แต่งบ้านและสวน | พระเครื่อง | รีวิวกล้องถ่ายรูป